ช่วงนี้เหตุการณ์บ้านเมืองกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนถ่ายโครงสร้างทางการเมืองและสังคมครั้งใหญ่ ผมเชื่อว่าหลายๆ เรื่องดำเนินเดินทางมาำไกลเกินกว่าจะย้อนกลับไปตั้งต้นกันใหม่ อย่างที่หลายๆ ฝ่ายพยายามเรียกร้องหรืออยากให้เป็น
มีคำถามว่าเหตุการณ์ในขณะนี้ดูจะก่อให้เกิดความวุ่นวายหรือไม่สงบสุขในบ้านเมืองหรือไม่ ผมมองว่าขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจจะปล่อยให้เกิดหรือไม่ให้เกิด ส่วนตัวแล้วผมเชื่อว่าลำพังแค่การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ทำเนียบรัฐบาลอย่างปรกติ ก็ไม่น่าจะนำพาความวุ่นวายใดๆ มาเกิดขึ้น แต่ถ้าจะเกิดขึ้นก็เพราะมีคนตั้งใจจะให้เกิด ด้วยเหตุผลเพื่อประโยชน์ของใครหรือกลุ่มใดแค่นั้นเอง
ท่ามกลางความขัดแย้งของประชาชนในบ้านเมืองที่แบ่งกันเป็นหลายขั้ว (ในมุมมองของผม ไม่ได้มีแค่ 2 ขั้วคือ ขั้วเอาทักษิณ กับขั้วไ่ม่เอาทักษิณ แต่ยังมีขั้วที่ไม่เอาอะไรเลย ขอให้ตัวเองอยู่รอดเป็นพอ และขั้วที่ไม่เคยกล้าตัดสินใจอะไรในชีวิตสักอย่าง ซึ่งสองขั้วหลังนี้บางทีชอบเรียกตัวเองว่า “เป็นกลาง”) ถามว่า กลุ่มบุคคลที่มักจะเรียกตัวเองว่า สื่อมวลชนนั้น ได้ทำอะไรให้สังคมทุกวันนี้ดีขึ้นบ้าง หรือชี้ทางให้สัีงคมเดินหน้าไปในแนวทางที่ถูำกต้องบ้าง
ผมไม่อยากจะบอกว่า แทบจะไม่มีเพราะจะดูเป็นการกล่าวหากันเกินไป ในสื่อประเภทสิ่งพิมพ์นั้นหลายๆ ฉบับเรียกว่า ทำหน้าที่ได้ดีในระดับหนึ่ง มีนำเสนอข่าวที่รอบด้าน รวมถึงบทวิเคราะห์ทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ในขณะที่สื่อโทรทัศน์ทำหน้าที่เพียงนำเสนอเรื่องราวอย่างฉาบฉวยไปแบบวันต่อวัน ส่วนสื่อวิทยุนั้นเรียกได้ว่าล้มเหลวโดยสิ่้นเชิง เพราะทุกวันนี้เป็นสื่อโฆษณาชวนเชื่อไปเต็มตัว
แต่วันนี้ผมขออนุญาตเจาะลึกถึงสื่อโทรทัศน์โดยตรง เพราะเป็นสื่อที่มีอิทธิพลต่อผู้รับสารมากที่สุดในขณะนี้
ปรากฎการณ์ที่ถือว่า เป็นบททดสอบวิชาชีพสื่อมวลชนครั้งสำคัญของสื่อโทรทัศน์ก็คือ วันที่กลุ่มพันธมิตรฯ บุกยึดสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) เป็นวันที่กลุ่มพันธมิตรฯ เพลี่ยงพล้ำจนทำให้ภาพลักษณ์ของกลุ่มผู้ชุมนุมดูแย่ไปมากจากสายตาของคนภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแพร่ภาพกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งบุกเข้าไปทำลายข้าวของ และบังคับให้พนักงานเอ็นบีทีหยุดการทำงาน ภาพดังกล่าวถูกออกอากาศไปยังสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง เพราะมันคือสีสันชั้นดีในการนำเสนอข่าวทางโทรทัศน์ ในขณะที่เอ็นบีทีเืมื่อกลับมาตั้งหลักและออกอากาศใหม่ได้อีกครั้ง ก็มีการแพร่ภาพชุดดังกล่าวซ้ำไปซ้ำมาตลอดแทบจะทั้งวัน รวมถึงวันต่อมา
หากผู้ชมที่ไม่ได้รับข่าวสารจากสื่ออื่นๆ หรือด้านอื่นๆ ย่อมตัดสินใจเชื่อในสิ่งที่เห็นได้ทันทีโดยมิอาจชั่งน้ำหนักของข่าวสารข้อมูลที่ได้รับให้ครบถ้วนเสียก่อนถึงที่มาที่ไป เหตุและผลของเรื่องราวก็เป็นได้ หลังเหตุการณ์ดังกล่าวอดีตนายกฯ สมัคร ประกาศกร้าวออกมาให้สื่อมวลชนลือกข้าง ซึ่งนับว่าเป็นคำประกาศที่ห้าวหาญและเชื่อมั่นในตัวเองเสียเหลือเกิน หากเกิดสื่อเลือกอีกข้างที่ไม่ใช่ข้างเดียวกับรัฐบาลกันทั้งหมดคงดูไม่จืดจริงๆ
แต่ในความเป็นจริง อดีตนายกฯ สมัครไม่ต้้องบอกให้สื่อเลือกข้างแต่ประการใดเลย เพราะในทางพฤตินัยทุกวันนี้สื่อนั้นได้เลือกข้างไปแล้วอย่างชัดเจน (ส่วนจะเลือกข้างหรือขั้วไหนนั้นโปรดพิจารณากันเอาเอง) แม้จะมีตัวแทนสื่อบางกลุ่มออกมาปกป้องตัวเองว่า สื่อมวลชนนั้นต้องทำหน้าที่อย่างเป็นกลางก็ตามที แต่ก็เป็นเพียงคำพูดที่สวยหรูตามหลักวิชาการเท่านั้น แต่้ในทางปฏิับัติก็ไม่เคยมีความเป็นกลางอยู่จริงในวงการสื่อมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
ถ้าหากความเป็นกลาง หมายถึง การนำเสนอข่าวทั้งสองด้านสองฝ่่ายสองฝั่งหรือสองขั้ว เพียงเท่านี้ยังไม่พอ เพราะต่อให้นำเสนอเนื้อหาของแต่ละฝ่ายด้วยจำนวนเวลาที่เท่ากัน ก็ไม่อาจจะเรียกได้ว่า เป็นการนำเสนออย่างเป็นกลางอย่างแท้จริง
แล้วอะไรที่ความเป็นกลางที่แท้จริง?
ตามหลักเรขาคณิต เราอาจจะหาจุดกึ่งกลางของวงกลมได้ จุดกึ่งกลางของพื้นที่รูปทรงต่างๆ ได้ แต่ในสังคมมนุษย์เราคงจะหาจุดกึ่งกลางในการดำเนินชีวิตร่วมกันได้ไม่ง่ายนัก แต่มิใช่จะทำไม่ได้เลย ในทางศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าบอกเอาไว้ว่า ให้เดินสายกลาง ซึ่งในที่นี้น่าจะหมายถึง การประคองชีวิตให้อยู่ในความดี ไ่ม่เอนเอียงไปในทางที่ชั่วร้าย เพราะความเป็นกลางระหว่างความดีกับความชั่วคงไม่มี ความเป็นกลางที่แท้จริงจึงน่าจะหมายถึงการประพฤติตนให้อยู่ในความดี และดำรงความถูกต้อง
สังคมทุกวันนี้ที่วุ่นวายเพราะคนชอบความชั่ว ไม่กลัวบาป และไม่อายที่จะทำสิ่งผิดๆ นั่นเอง
สื่อมวลชนทางโทรทัศน์ทุกวันนี้มีความเป็นกลางหรือไม่ลองถามตัวเองดู พอเสียทีเ้ถอะกลับการนำเสนอข่าวแบบฉาบฉวย เน้นสีสัน ให้ข้อมูลแบบผิวเผินไม่รอบด้าน ทำแต่ข่าวเกาะกระแสไปวันๆ ไม่มีข่าวเชิงลึกเพื่อให้ข้อมูลกับผู้รับชมในสิ่งที่ถูกต้อง ทำไมไม่มีสื่อโทรทัศน์ติดตามข่าวเรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ให้เข้าใจถึงประเด็นผลกระทบของการเสียดินแดนที่ไม่ใช่เพียงบริเวณเขาพระวิหาร แต่กำลังจะลามไปตลอดแนวชายแดน ทำไมไม่มีสื่อโทรทัศน์ตามข่าวเรื่องการยุบพรรคการเมือง 3 พรรค ที่ถูกกกต.ตัดสินให้ยุบพรรคไปแล้ว แต่เรื่องกับไปดองอยู่ที่อัยการสูงสุดไม่ยอมส่งต่อไปยังศาลเสียที หรือทำไมไม่มีใครไปตามข่าวเรื่องการยึดคืนพาสปอร์ตเล่มสีแดงจากอดีตนายกฯ ทักษิณ ซึ่งกลายเป็นผู้ต้องหาหนีคดีไปแล้วเสียที
หรือสื่อมองว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องความผิด ไม่ใช่เรื่องความไม่ถูกต้องชอบธรรม เป็นสิ่งปรกติในสังคมไทยที่ยอมรับความชั่วร้ายของผู้ที่ิมีอำนาจปกครองบ้านเมืองได้
หรือว่า บางทีสื่อเองอาจจะไม่รู้ว่า อะไรคือผิดอะไรคือถูก
หรือที่แท้ ความเป็นกลางของสื่อ ก็คือความไม่รู้นั่นเอง
Latest Comments