๙. ครั้งหนึ่งกับความประทับใจที่มีต่อท่านทูตไทยประจำอินโดนีเซีย

และแล้วการเดินทางไปทำข่าวต่างประเทศเป็นครั้งแรกของผมก็เริ่มต้นขึ้น โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย

สำหรับนักข่าวหน้าใหม่ตัวเล็กๆ ที่ยังไม่มีประสบการณ์ในการสนามข่าวมากนัก การได้เดินทางไปทำข่าวต่างประเทศครั้งแรกช่างเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นจริงๆ แต่นับว่าโชคดีที่ผมได้พี่ปุ๊ บ.ก.ข่าวเศรษฐกิจ มาเป็นพี่เลี้ยงในการทำงานครั้งนี้ เพราะแกไม่ได้เป็นแค่พี่เลี้ยงให้ผม แต่ยังเป็นเพื่อนร่วมงานที่มีคอนเนกชั่นกับแหล่งข่าวมากมาย โดยเฉพาะแหล่งข่าวสายเศรษฐกิจ

วันแรกที่เหยียบแผ่นดินชวาเป็นที่เรียบร้อย ผมกับพี่ปุ๊ ก็เริ่มลงมือวางแผนการทำงานทันที ด้วยตระหนักว่าการเดินทางมาต่างประเทศในครั้งนี้ไม่ได้มาเที่ยว แต่เรามาทำงาน และเป็นการทำงานที่ค่อนข้างหนักเอามากๆ อย่างแรกก็คือเราจำเป็นต้องมีข่าวส่งทุกต้นชั่วโมง รวมถึงสกู๊ปรายงานพิเศษอีก ๑ เรื่องต่อวัน

ผมกับพี่ปุ๊ ถือเป็นนักข่าวไทยคู่แรกที่มาถึงอินโดนีเซียเพื่อทำข่าวการประชุมเอเปก เท่าที่ทราบก็คือนักข่าวไทยจากที่อื่นๆ จะเริ่มทยอยตามหลังเรามาอีก ๑-๒ วัน พี่ปุ๊บอกว่าเมื่อมาถึงต่างบ้านต่างเมืองแบบนี้ แหล่งข่าวคนไทยคนแรกที่เราควรจะไปคุยด้วยจะเป็นใครไม่เสียไม่ได้นอกจาก “ท่านเอกอัครราชทูตไทย ประจำอินโดนีเซีย”ซึ่งในขณะนั้นคือ คุณกษิต ภิรมย์

หลังจากที่นัดหมายกับท่านทูตกษิต ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็เดินทางไปหาท่านที่สถานทูตไทยในกรุงจาการ์ตา ประเด็นในการพูดคุยในวันนั้นก็ไม่มีอะไรมาก ก็เป็นเรื่องภาพรวมของประเทศอินโดนีเซีย ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอินโดนีเซียในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและการค้า ซึ่งท่านทูตก็ได้ให้ข้อมูลกับเราได้เป็นอย่างดี

การสัมภาษณ์ในวันนั้นใช้เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมงเห็นจะได้ ผมเองยอมรับว่าตื่นเต้นมากกับการทำข่าวแบบสัมภาษณ์เดี่ยวๆ กับแหล่งข่าว จำได้ว่าแทบไม่ค่อยได้ยิงคำถามอะไรมากนัก เพราะพี่ปุ๊จะมืออาชีพกว่าผมมาก ผมยังน้องใหม่เหลือเกินกับการตั้งคำถามด้วยตัวเอง

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมประทับใจท่านทูตกษิต และจะไม่มีวันลืมเหตุการณ์ในการสัมภาษณ์ในครั้งนั้นก็คือ คำพูดของท่านหลังจากที่พวกเราสัมภาษณ์จบ ตามประสาของผู้น้อย และไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นสื่อที่โด่งดังมาจากไหน เป็นแค่สำนักข่าวเปิดใหม่ เราเลยรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ท่านทูตสละเวลามาคุยกับเรา ผมกับพี่ปุ๊จึงยกมือไหว้พร้อมกล่าวขอบคุณท่านเพื่อลากลับ แต่คำพูดที่เราสองคนได้รับตอบกลับมาในครั้งนั้นก็คือ “ไม่เป็นไร มันเป็นหน้าที่ผม ที่ต้องรับใช้พวกคุณ” มันเป็นคำพูดที่ออกจากใบหน้าที่ยิ้มแย้มและดูเป็นมืออาชีพจริงๆ

นี่ถ้าข้าราชการบ้านเรามีหลักคิดในการทำงานเหมือนท่านทุกคน ประเทศไทยคงพัฒนาไปไกลมากกว่านี้ น่าเสียดายที่หลังจากการสัมภาษณ์ในวันนั้น ผมก็ไม่มีโอกาสได้พบท่านทูตกษิตอีกเลย ได้แต่ติดตามข่าวว่า ท่านได้ย้ายไปเป็นทูตในอีกหลายประเทศ ตำแหน่งสุดท้ายคือเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และก่อนที่จะมีการปฏิวัติเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายนปีที่แล้ว ท่านก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ และวิพากษ์รัฐบาลทักษิณอย่างไม่มีชิ้นดี

การทำงานในวันแรก ณ ต่างบ้านต่างเมืองผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีอะไรน่าวิตกสำหรับผม ทุกสิ่งทุกอย่างในเวลาล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่และน่าสนุกสำหรับผมไปหมด ผมเริ่มคุ้นเคยกับการเขียนข่าว และรายงานข่าวทางวิทยุ ไม่มีอะไรยากเกินไป แต่งานข่าวในต่างประเทศครั้งนี้ยังแค่เริ่มต้นเท่านั้น ยังมีเหตุการณ์มันๆ รออยู่อีกหลายเรื่อง ซึ่งบางเรื่องก็สามารถเชื่อมโยงมาถึงปัจจุบันได้อย่างไม่น่าเชื่อเหมือนกัน

โปรดติดตามตอนต่อไป

~ โดย เสียงนกเสียงกา บน ตุลาคม 22, 2007.

ใส่ความเห็น